แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาหาร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาหาร แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

เมนูแนะนำ ส้มตำทอดแซบหลายๆ


เมนูแนะนำ ส้มตำทอดแซบหลาย





ส่วนผสมมีดังนี้  เตรียมเสร็จแล้วมาลงมือทำกันเลย 

พริกขี้หนูสีแดง 5 เม็ด
พริกขี้หนูสวน 7 เม็ด
กระเทียมไทยแกะเปลือก 9 กลีบ
ปูเค็ม 1 ตัว
ถั่วฝักยาวหั่นท่อนขนาด 1 นิ้ว 1 ฝัก
มะเขือเทศสีดาหั่นชิ้น 2 ลูก
กุ้งแห้งเนื้อ 2 ช้อนโต๊ะ
บี้ 1 ช้อนโต +2 ชอนชา
น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
ถั่วลิสงคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ถ้วย+1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเย็นจัด 3/4 ถ้วย
มะละกอสับ 2 ถ้วย
น้ำมันพืช 2 ถ้วย

วิธีทำส้มตำทอด

1. ทำมะละกอชุบแป้งทอดโดยผสมแป้งสาลีกับน้ำเย็นจัดเข้าด้วยกันในอ่างผสมให้แป้งมีลักษณะ
ข้น ใส่มะละกอลงเคล้าให้ทั่ว ใส่ลงทอดในกระทะน้ำมันร้อนจัดด้วยไฟกลาง โดยใส่ให้กระจาย
ทั่วน้ำมัน คนพอทั่ว ทอดจนสุกเหลือง ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน

2. โขลกพริก และกระเทียม เข้าด้วยกันพอหยาบ ใส่ปูเค็ม ถั่วฝักยาว
โขลกพอแตก ใล่มเขือเทศสีดา กุ้งแห้ง ปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำปลา และน้ำมะนาว ชิมรสให้
เปรี้ยว หวาน เค็ม ตามชอบ ใล่ถั่วลิสงคั่ว

3. จัดมะละกอทอดใส่จาน ตักน้ำส้มตำราด หรือตักใส่ถ้วยแยกต่างหาก เสิร์ฟกับผักสด เช่น แตงกวา ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี เท่านี้ก็ได้ส้มตำทอดรสชาติแซบถูกใจใครหลายคนเรียบร้อยแล้วค่ะ

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

เมนูเด็ดส้มตำ somtumm

   ส้มตำเมนูเด็ด 



วันนี้ 
mumu ขอแนะนำอาหารชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าคนไทยที่อยู่ต่างแดน หรือในประเทศไทยเอง ก็ขาดอาหารชนิดนี้ไม่ได้ ก็ขาดไม่ได้เหมือนกัน) อาหารที่ว่า คือ "ส้มตำ" แต่พอพูดถึงส้มตำ ก็จะตามมาพร้อมกับอาหารอีกหลายๆ อย่าง เช่น ข้าวเหนียว, ไก่ย่างและซุปหน่อไม้ อะไรประมาณนี้

การทำส้มตำนั้นไม่ยาก เพื่อนๆ ก็คงทำกันทานได้ แต่ถ้าเพื่อนๆ คนไหนอยากทำเป็นอาชีพอิสระ ก็ต้องรู้ว่า ส้มตำมีการตำกันหลายแบบ หลายอย่าง  จะขอแนะนำส้มตำแบบต่างๆ ให้เพื่อนๆ ได้รู้จัก เพราะบางชนิด เพื่อนๆ อาจไม่เคยเห็นก็ได้

1. ส้มตำไทย
  • คือ จะไม่ใส่ปูดองและปลาร้า แต่ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว แล้วยังใส่น้ำตาลปีบ รสชาติออกหวานและเปรี้ยวนำ บางคนอาจใส่ปูดองด้วย เรียกว่า ส้มตำไทยใส่ปู

2. ส้มตำไข่เค็ม
  • คือ ส้มตำไทยและใส่ไข่เค็ม ไม่ใส่ปูดอง ทำให้ส้มตำมีน้ำข้นขึ้น และรสชาติจะออกหวาน, เค็ม, เผ็ด พอดี

3. ส้มตำปลาร้า หรือตำลาว
  • คือ เขาจะใส่ตัวปลาร้าลงไปด้วย หรือถ้าบางคนก็อาจใส่แต่น้ำปลาร้าก็ได้ แต่ไม่ใส่น้ำปลา ไม่ใส่กุ้งแห้ง และน้ำตาล รสชาติจะออก เค็ม, เผ็ด

4. ส้มตำปู
  • คือ ใส่ปูเค็มดอง และจะไม่ใส่ถั่วลิสงคั่ว อาจจะใส่กุ้งนิดหน่อยได้ แต่ไม่ใส่น้ำตาล รสชาติออกเค็มนำ

5. ตำซั่ว
  • คือ การเอาเส้นขนมจีนใส่ผสมกับเส้นมะละกอตำรวมกัน ใส่น้ำตาลเล็กน้อย บางคนก็ไม่ใส่น้ำตาลเล นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน

6. ตำโคราช หรือ ตำผสม
  • คือ เขาจำตำผสมระหว่างส้มตำไทยและส้มตำปลาร้า คือใส่ทั้งกุ้ง, ปลาร้า และน้ำตาล รสชาติจะออก เปรี้ยว หวาน และเค็มตาม

7. ตำป่า
  • คือ การเอาผักหลายชนิดใส่ลงไป เช่น ผักกระเฉด ผักกาดดอง ปลากรอบ ถั่วลิสง ถั่วงอก ถั่วฝักยาว รวมถึงหอยแมลงภู่ เป็นที่นิยมในภาคอีสาน

8. ตำทะเล
  • คือ ส้มตำไทยใส่ของทะเล เช่น ปลาหมึกลวก, กุ้งลวก, หอยแมลงภู่ลวก, หอยนางรมสด เป็นส้มตำชนิดใหม่ที่มีคนนิยมค่อนข้างมาก แต่ราคาก็แพงมากกว่า ส้มตำทั่วไป

9. ส้มตำปูม้า
  • คือ ส้มตำไทย แล้วคลุกเคล้ากับปูม้าสดสับครึ่งตัว ส้มตำชนิดนี้เป็นที่นิยมในเขตภาคตะวันออก เช่น ระยอง, ชลบุรี

10. ตำหอยดอง
  • คือ ตำเหมือนส้มตำไทย แต่ใส่หอยแมลงภู่ดอง หรือหอยแคลงดองลงไปก็ได้ อร่อยมากๆ ชอบๆ

11. ตำผลไม้
  • ตือ ส้มตำไทย แต่ใส่ผลไม้ลงไป เช่น ฝรั่ง, สับปะรด, มะม่วงฟ้าลั่น, แอปเปิล เขียว แดง, องุ่น หรือผลไม้ตามฤดูกาล

12. ส้มตำ เปลือกต้นแค
  • คือ จะตำแบบส้มตำปลาร้า แต่จะเอาเปลือกต้นแค มาทุบและสับใส่ลงไปด้วยพร้อมเส้นมะละกอ เคยได้ลองทานแล้ว ก็อร่อยดีนะ ไม่เหนียว และไม่แข็งอย่างที่คิด อร่อยๆ จริงๆ

- และยังมีส้มตำอีกมากมายหลายแบบที่ ไม่ได้นำมาลง แต่เคยได้ทานมาแล้ว และยังมีอีกเยอะจริงๆ แต่ถ้าใครคิดจะเปิดร้านส้มตำ ต้องหัดตำให้ได้หลายๆ อย่างนะ หรือจะคิดสูตรส้มตำแบบใหม่ขึ้นมาเป็นสูตรของตัวเองก็ได้ แต่ถ้าใครทำได้ทั้ง 12 สูตรนี้ คิดว่าเตียมตัว รวยได้เลย

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

สูตรการทำส้มตำไข่เค็ม


สูตรการทำส้มตำไข่เค็ม

   วันนี้ขอนำเสนอสูตรการทำส้มตำไข่เค็ม ขั้นตอนก็ทำได้ง่ายๆไม่ยุ่งยากเพียง เตรียมวัถุดิบและอุปกรณ์ในการทำให้พร้อม ดังส่วนผสมข้างล่างนี้  มาเริ่มลงมือกันเลยค่ะ
ส้มตำไทยใส่ไข่เค็ม

สูตรส้มตำไข่เค็ม
ส่วนผสม
1.มะละกอขูด( จะ สับ หรือ ขูด ก็ได้ ) 1 ถ้วย
2.มะเขือเทศ 3 ลูก
3.ไข่เค็มต้มสุก 1 ลูก
4.พริกขี้หนูสด 3-7 เม็ด
5.กระเทียม 5 กลีบ
6.นํ้ามะนาว 2 – 5 ช้อนโต๊ะ
7.นํ้าตาลปี๊บ 1 – 2 ช้อนชาใหญ่
8.นํ้าปลา 2 ช้อนโต๊ะ
9.กุ้งแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ
10.ถั่วลิสงคั่ว( หรือทอด) 1 ช้อนชา
11.เม็ดมะม่วงหิมพานต์
12.ผักต่างๆตามชอบเอาไว้กินคู่กับส้มตำ
สัดส่วนแต่ละอย่าง ชิมแล้วลดเพิ่มได้ตามรสที่ชอบนะค่ะ


วิธีทำ

1.ใส่พริกกับกระเทียม ตำ ลง ในครก และตักนํ้าตาลปี๊บลงไปตำ ให้น้ำตาลละลาย ถ้าใครมีถั่วฝักยาวใส่ลงไปด้วยก็ได้ค่ะ
2.หลังจากนั้นผ่าไข่เค็มเป็น 2 ซีกค่ะ แล้วให้เอาช้อนตักเฉพาะเนื้อของไข่เค็มใส่ลงไป ทั้ง 2 ซีก จากนั้นใส่มะเขือเทศลงไปด้วยค่ะ
3.ตามด้วยกุ้งแห้งค่ะ ใส่นํ้าปลาและนํ้ามะนาวลงไปเลยค่ะ หลังจากนั้นให้เอาซาก ตำให้เข้าทุกอย่างเข้ากันนะคะ ระวังเค็มนะค่ะเพราะไข่เค็ม เค็มอยู่แล้ว ถ้าเนื้อของไข่แหลกละเอียดรสชาติจะอร่อยมากเลยค่ะ น้ำส้มตำมันจะค้น ตัดกับกับรสชาติ ของมะนาว แซ่บ ค่ะ ตักชิมรสดูนะคะ ชอบรสไหนเติมตามใจชอบเลยค่ะ จากนั้น
4.ใส่มะละกอลงไปเลยค่ะ หลังจากนั้นให้เอาสากค่อยๆตำนะคะ พยายามใช้ช้อนช่วยคนให้เครื่องเข้าเส้น มากกว่าตำค่ะ เดี๋ยวเส้นมะละกอจะเละ หลังจากที่เราตักใส่จานแล้ว โรยหน้าด้วยกุ้งแห้ง และถั่วลิสงคั่ว หรือ ทอด ค่ะ ก็เป็นอันเสร็จค่ะ 


ประวัติส้มตำ

ประวัติส้มตำ

ที่มาของส้มตำ

     ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีการนำมะละกอดิบมาปรุงเป็นส้มตำเป็นครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่หารเราพิจารณาถึงที่มาของส่วนประกอบต่างๆ ของส้มตำ อาได้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการสันนิษฐานถึงที่มาของส้มตำได้


มะละกอ
มะละกอเป็นไม้ล้มลุก (บางครั้งอาจเข้าใจผิดว่าเป็นไม้ยืนต้น) ใบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว 5-9 แฉก เกาะกลุ่มอยู่ด้านบนสุดของลำต้น ภายในก้านใบและใบมียางเหนียวสีขาวอยู่ มะละกอบางต้นอาจมีดอกเพียงเพศเดียว แต่บางต้นอาจมีดอกได้ทั้งสองเพศก็ได้ ผลเป็นรูปรี อาจหนักได้ถึง 9 กิโลกรัม ผลดิบมีสีเขียว และมีน้ำยางสีขาวสะสมอยู่ที่เปลือก ส่วนผลสุก เนื้อในจะมีสีเหลืองถึงส้ม มีเมล็ดสีดำเล็ก ๆ อยู่ภายในกินไม่ได้
ประโยชน์
เมื่อพูดถึง "มะละกอ" ผลไม้รูปทรงยาวรี "108 เคล็ดกิน" ก็มีอันต้องนึกไปถึงส้มตำก่อนทุกที คงเป็นเพราะเรามักจะได้เห็นมะละกอในรูปแบบของส้มตำจานเด็ดอยู่เสมอๆ แต่นอกจากส้มตำแล้ว มะละกอก็ยังเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ทางยาอีกมากมาย เช่น ใบมะละกอสดนำมาย่างไฟและนำมาประคบช่วยแก้อาการปวดบวมได้ ใบใช้ต้มกินเพื่อขับปัสสาวะ เมล็ดต้มกินเพื่อขับพยาธิ ขับประจำเดือน ยางมะละกอแก่พิษตะขาบกัดแมลงสัตว์กัดต่อย รวมไปถึงช่วยหมักเนื้อให้นุ่มได้อีกด้วย
แต่สิ่งที่เรามักใช้ประโยชน์กับมะละกอมากที่สุดก็คงจะเป็นผลมะละกอ ที่กินได้ทั้งสุกและดิบ ผลดิบก็สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง นอกจากส้มตำแล้วก็ยังนำไปต้มหรือนึ่งกินกับน้ำพริกชนิดต่างๆ จะนำไปผัดกับไข่ หรือจะแกงส้มมะละกอก็อร่อยไม่น้อย
ส่วนผลสุกนั้นต้องถือว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพได้เลยทีเดียว เพราะในผลสุกนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี 1 บี 2 แคลเซียม และที่สำคัญคือ สารเบต้าแคโรทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงและทำให้ผิวพรรณดียิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยชะลอความแก่ และริ้วรอยก่อนวัยอันควร แถมยังช่วยบำรุงอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย แก้กระหายน้ำ บำรุงโลหิต บำรุงระบบประสาท บำรุงสายตา และที่สำคัญ มะละกอสุกนั้นช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี แก้ท้องผูก ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย

 มะละกอเป็นไม้ผลที่คนทั่วไปนิยมรับประทาน ผลดิบนำมาปรุงอาหาร ผลสุกรับประทานสด น้ำมีรสชาติหวานหอมมีวิตามินเอและแคลเซียมสูง นอกจากจะบริโภคภายในประเทศแล้วยังสามารถส่งไปจำหน่ายตลาดต่างประเทศในปี 2539 ส่งออกปริมาณ 5 ตัน คิดเป็นมูลค่า 0.2 ล้านบาท มะละกอแปรรูป 2,450 ตัน มูลค่า 51.8 ล้านบาท
ชื่ออื่น
มะก๊วยเทศ (เหนือ) มะกล้วยเต็ด (พายัพ) มะหุ่ง (ลานช้าง) หมักหุ่ง (เลย, นครพนม) สะกุยเส่ (แม่ฮ่องสอน) กล้วยลา (ยะลา) แตงต้น (สตูล) มะเต๊ะ (ปัตตานี) ลอกอ (มลายู)
การใช้ประโยชน์
• ใช้เป็นอาหาร ผลดิบ นึ่งหรือต้มรับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ผัดกับไข่หรือหมู ทำส้มตำ แกงส้ม ยอดอ่อนดอง รับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริก ผลสุก รับประทานเป็นผลไม้
• คุณค่าทางโภชนาการ ผลมะละกอดิบมียาง มีสารเพคติน แคลเซียม วิตามินซี และอื่นๆ ผลมะละกอสุก มีวิตามินเอสูง วิตามินซี สารเพคติน เหล็ก แคลเซียม และมีสาร carotenoid เป็นสารที่ทำให้เนื้อมะละกอสุกมีสีส้ม
• ใช้เป็นยา ต้นมะละกอ ขับประจำเดือน ลดไข้ ดอก ขับปัสสาวะ ราก แก้กลากเกลื้อน ยาง ช่วยกัดแผล รักษาตาปลาและหูด ฆ่าพยาธิ

คุณค่าทางโภชนาการ
                     ส้มตำ ลาวใส่มะละกอ 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 205 กิโลแคลอรี่
                     ประกอบด้วยน้ำ 417.77 กรัม
                     โปรตีน 17 กรัม
                     ไขมัน 2.856 กรัม
                     คาร์โบไฮเดรต 29 กรัม
                     กาก 5.75 กรัม ใยอาหาร 2.67 กรัม
                     แคลเซียม 163.4 มิลลิกรัม
                     ฟอสฟอรัส 190.36 มิลลิกรัม
                     เหล็ก 24.27 มิลลิกรัม
                     เบต้า-แคโรทีน 473.9 ไมโครกรัม
                     วิตามินเอ 12243 IU
                     วิตามินบีหนึ่ง 0.552 มิลลิกรัม
                     วิตามินบีสอง 0.5 มิลลิกรัม
                     ไนอาซิน 5.545 มิลลิกรัม
                     วิตามินซี 162 มิลลิกรัม




ประโยชน์ของส้มตำ
 มะละกอกินเป็นผักก็ได้ ผลไม้ก็ดี มะละกอดิบและมะละกอห่าม จะมีรสชาติจืด เป็นผักรับรสเครื่องปรุง ที่ผสมในเนื้อมะละกอได้ง่าย เช่น แกงส้มที่มีรสเข้มข้น ส้มตำ อีกทั้งนำไปแกะสลักเสลา ได้อย่างดงาม รวมไปถึงการนำไปถนอมอาหาร เช่น เชื่อม แช่อิ่ม ตากแห้ง เก็บไว้ได้นานวัน ส่วนมะละกอสุกนั้น ยังเป็นผลไม้ที่อร่อย ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง มีวิตามินเอสูง (2,000 - 3,000 หน่วยสากลต่อมะละกอ 100 กรัม)
คุณค่าทางยา
• ราก นำมาต้มแก้ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย ช่วยขับปัสสาวะ
• ใบสด ย่างไฟแล้วบดนำไปประกอบบริเวณที่ปวด และแก้ปวดไขข้อ
• เมล็ด ช่วยดับกระหาย และ
มีฤทธิ์ช่วยขับพยาธิ
• น้ำ ดอกมะละกอ ต้มช่วยขับประจำเดือนสตรี
• ยาง ช่วยสลายโปรตีน ช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
• ในเนื้อมะละกอมีธาตุเหล็กบำรุงเลือด มีแคลเซียมบำรุงกระดูก มีวิตามินเอบำรุงสายตา วิตามินบีบำรุงประสาท วิตามินซีรักษาและป้องกันโรคลักปิดลักเปิด มีเอนไซม์ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

  
ส้มตำ ไร้สารพิษ
        คนไทยแทบทุกคนชอบกิน "ส้มตำ" กันเกือบทุกวัน พยาบาลเวรดึกเป็นกลุ่มที่ชอบกินส้มตำมาก ทุกวันเวลาราวๆ ตี 2 พยาบาลมักจับกลุ่มกินส้มตำแก้ง่วงแก้หิวและสนทนาเรื่องคนไข้กับการรักษาของหมอ เป็นกับแกล้ม ทำให้มีแรงดูแลคนเจ็บป่วยได้ตลอดคืน
        ส้มตำเป็นอาหารที่อยู่ในวิถีชีวิตตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงในวัง และต่างประเทศ แต่องค์ความรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการการก่อกำเนิดส้มตำยังมีหลักฐานไม่มากพอ
        อาจารย์นฤมล ปัญญาวชิโรภาส จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ได้ทำการศึกษาเรื่อง ส้มตำ พบว่าแต่เดิมในสมัยรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสชนบทมีชาวบ้านทำส้มตำมาถวาย เมื่อ 100 กว่าปีก่อน ต่อมากลายเป็นส้มตำชาววังและขยายสู่การบริโภคอย่างทั่วถึง
        คำว่า ส้มตำ นำมาจากองค์ประกอบของรสชาติที่เปรี้ยวจากมะนาวหรือมะขาม ผสมกับมะละกอ พริก มะเขือเทศ ปลาร้า ใบกระเทียม มะกอก ปูแสม ปูนา ฯลฯ เป็นลักษณะอาหารบูรณาการรสชาติเอร็ดอร่อย
        พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายว่า ส้มตำ หมายถึง ของกินชนิดหนึ่ง เอาผลไม้มีมะละกอ เป็นต้น มาตำผสมกับเครื่องปรุงมีรสเปรี้ยว บางท้องถิ่นเรียก ตำส้ม ความคิดทั่วไป ก็คือมะละกอผสมกับเครื่องปรุงอื่นๆ ได้แก่ พริก มะนาว ปลาร้า มะเขือเทศ ปู ตำในครกเป็นของคาวกินกับข้าวเหนียวหรือขนมจีน มีผักสดส้มตำมีคุณค่าทางโภชนาการ ในส้มตำมะละกอหนึ่งจานประมาณ 100 กรัม จะให้พลังงาน 23 กิโลแคลอรี โปรตีน 1 กรัม ไขมัน 0.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4.1 กรัม ใยอาหาร 2.72 กรัม
        ทั้งยังได้วิตามินจากส่วนประกอบและผักสดที่รับประทานกับส้มตำ อาทิ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง ไนอาซิน และวิตามินซี
ประโยชน์ของส้มตำ
        นอกจากคุณค่าทางโภชนาการแล้วส้มตำยังมีสรรพคุณทางยา คุณค่าจากพืชสมุนไพรที่เป็นองค์ประกอบในส้มตำอีกมากมาย
        อาทิ มะละกอ เป็นยานำบำรุงน้ำนม ขับพยาธิ แก้บิด แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยย่อยอาหาร ขับน้ำดี น้ำเหลือง
                มะเขือเทศ รสเปรี้ยว เป็นผักที่ใช้แต่งสีและกลิ่นอาหาร ช่วยระบาย บำรุงผิว
                มะกอกรสเปรี้ยว ฝาด หวาน แก้โรคธาตุพิการเพราะน้ำดีไม่ปกติแก้บิด แก้โรค
                               เลือดออกตามไรฟัน ผลสุกทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ
               พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย
               กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรค
                               ผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรีย
                               และไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด
               มะนาว เปลือกผลรสขม ช่วยขับลมน้ำในลูกรสเปรี้ยวแก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือด
                              ออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต
               ผักแกล้มต่างๆ ได้แก่ ถั่วฝักยาว รสมันหวาน ช่วยกระตุ้นการทำงานของกะ
                              เพาะลำไส้ บำรุงธาตุดิน
               กะหล่ำปลีรสจืดเย็น กระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้ บำรุงธาตุไฟ
               ผักบุ้ง รสจืดเย็น ต้มกินไข้เป็นยาระบายทำให้อาเจียน เนื่องจากพิษของฝิ่นและ
                             สารหนู
               กระถิน รสมัน แก้ท้องร่วง สมานแผล ห้ามเลือด ถ่ายพยาธิ
               มะยม ใบต้มกิน เป็นยาแก้ไข้ ช่วยดับพิษไข้ บำรุงประสาท ขับเสมหะ บำรุง
                            อาหาร แก้พิษอีสุกอีใส โรคหัดเลือด